บันทึกอนุทิน
วิชา การบริหารจัดการสถานศึกษาระดับปฐมวัย
อาจารย์ผู้สอน ว่าที่ ร.ต.กฤตธ์ตฤณน์ ตุ๊หมาก
ประจำวัน พุธที่ 18 มกราคม 2560
เรียนครั้งที่ 2 เวลา 12.30 - 15.30 น.
กลุ่ม 102
นำเสนอคำคมสำหรับการบริหาร
เลขที่ 1
เลขที่ 1
"ถ้าทุกคนรู้จักบริหารเวลาให้เป็นประโยชน์ ก็จะทำให้เราสำเร็จในสิ่งที่เราตั้งใจไว้ได้"
เลขที่ 2
"แม้ผู้บริหารจะไม่ได้ทำงานเอง แต่ต้องอาศัยมือผู้อื่นด้วย เพื่อให้ประความสำเร็จ"
เลขที่ 3
"อย่าฟังคนเพียงคำพูด รูปลักษณ์ภายนอก มันบ่งบอกไม่ได้"
การบริหารจัดการสถานศึกษาระดับปฐมวัย
➤ ความหมายและความสำคัญของการบริหารสถานศึกษา
การบริหาร คือ
การบริหารการศึกษา
แยกออกเป็น 2 คำ คือ การบริหาร และ การศึกษา ความหมายของ “การบริหาร” มีผู้ให้ความหมายไว้หลากหลาย
ทั้งคล้ายๆกันและแตกต่างกัน คือ
* การบริหาร คือ
ศิลปะของการทำงานให้สำเร็จโดยใช้บุคคลอื่น
* การบริหาร คือ
การทำงานของคณะบุคคล ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ที่ร่วมกันปฏิบัติการให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน
* การบริหาร คือ
การที่บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปร่วมกันทำงาน เพื่อจุดประสงค์อย่างเดียวกัน
** จากความหมายของ
“การบริหาร” พอสรุปได้ว่า “การดำเนินงานของกลุ่มบุคคลเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ที่วางไว้”
การศึกษา คือ
มีผู้ให้ความหมายไว้คล้ายๆกัน
ดังนี้
* การศึกษา คือ ความเจริญงอกงาม ทั้งร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา
* การศึกษา คือ การสร้างเสริมประสบการณ์ให้ชีวิต
* การศึกษา คือ เครื่องมือที่ทำให้เกิดความเจริญงอกงามทุกทางในตัวบุคคล
** จากความหมายของ “การศึกษา” ข้างบนนี้พอสรุปได้ว่า
“การพัฒนาคนให้มีคุณภาพ ทั้งความรู้ ความคิด ความสามารถ
และความเป็นคนดี”
เมื่อนำความหมายของ “การบริหาร” มารวมกับความหมายของ
“การศึกษา” ก็จะได้ความหมายของ
“การบริหารการศึกษา” ว่า
“การดำเนินงานของกลุ่มบุคคล เพื่อพัฒนาคนให้มีคุณภาพ ทั้งความรู้
ความคิด ความสามารถ และความเป็นคนดี”
การบริหารสถานศึกษา คือ
* วีรชัย วรรณศรี (2545) การบริหารสถานศึกษา หมายถึง กระบวนการต่างๆ
ในการดำเนินงานของกลุ่มบุคคล
เพื่อให้บริการทางการศึกษาแก่สมาชิกในสังคมให้บรรลุตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้
* วิโรจน์ สารัตนะ (2546) กล่าวว่า
การการบริหารเป็นกระบวนการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุจุดหมายขององค์กร
โดยอาศัยหน้าที่ทางการบริหารที่สำคัญประกอบด้วย การวางแผน (Planning) การจัด องค์กร (Organizing) การนำ (Leading) และการควบคุม(Controlling)
*เฉลิมชัย สมท่า (2547) กล่าวว่าการบริหารโรงเรียนเป็นกิจกรรมทางการศึกษาที่จะต้องทำอย่างเป็นระบบเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
สรุปได้ว่า
การบริหารสถานศึกษา หมายถึง
ผู้ที่ทำหน้าที่หัวหน้าหรือผู้นำดำเนินงานเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายขององค์กร
โดยใช้กระบวนการบริหารกลุ่มบุคคล กระบวนการต่างๆ
ในการดำเนินงานของกลุ่มบุคคลให้เปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำใหม่ เป็นผู้นำทางความคิด
การแก้ปัญหา การตัดสินใจ การสร้างแรงจูงใจและจัดสรรการใช้ทรัพยากรต่างๆ
ให้เป็นกลุ่มงานที่สัมพันธ์กันอย่างดี มีพลังคนที่มีความสามารถพร้อมสร้างบุคลากรให้ทำงานได้อย่างถูกต้องเพื่อให้บุคลากรร่วมมือกันพัฒนาคุณภาพของงานภายในสถานศึกษาและให้บริการทางการศึกษาแก่สมาชิกของสังคม
➤ ความสำคัญของการบริหารสถานศึกษา
* จันทรานี สงวนนาม (2545) กล่าวว่า เพื่อความอยู่รอดขององค์กร
การเรียนรู้เพื่อบริหารองค์กร จะช่วยให้องค์กรสามารถกำหนดวัตถุประสงค์
เป้าหมายของงานบุคลากรตลอดจนการดำเนินงานได้อย่างเหมาะสม
* นงลักษณ์ วิรัชชัย (2545) กล่าวว่า การปฏิรูปสถานศึกษาจะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อผู้บริหารผู้บริหารมีคุณลักษณะต่อไปนี้
คือ มีความสามารถทางการบริหารตลอดจนการดำเนินงานได้อย่างเหมาะสม
* Mckinson (2550) กล่าวว่า มนุษย์เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการบริหาร
ถึงแม้ว่าคุณค่าของมนุษย์จะเป็นสิ่งจับต้องไม่ได้และไม่สามารถใช้หลักเกณฑ์กำหนดคุณค่าเช่นเดียวกับวัตถุหรือสินค้าอื่นใด
แต่ก็ยังถือว่ามนุษย์เป็นทรัพยากรทางเศรษฐกิจที่มีค่าและมีเกียรติสูงสุด
สรุปการบริหารสถานศึกษา
สรุปได้ว่า
การบริหารสถานศึกษาหรือการบริหารองค์กร
สิ่งที่ต้องตระหนักหรือให้ความสำคัญ คือการบริหารงานบุคคล
เพราะบุคคลเป็นทรัพยากรที่มีค่าในองค์กร ที่สามารถพัฒนาศักยภาพได้ไม่มีที่สิ้นสุด
ซึ่งจะทำให้องค์กรสามารถดำเนินกิจการต่างๆ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้
ช่วยให้บุคคลที่ปฏิบัติงานในองค์กรมีขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน
เกิดความจงรักภักดีต่อองค์กรที่ปฏิบัติงาน
เสริมสร้างความมั่นคงแก่สังคมและประเทศชาตินั้นหมายถึงผู้บริหารจะต้องมีความรู้เรื่องการบริหารเป็นอย่างดี
หลักการบริหารงานบุคคล
สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ
(2545) ให้แนวคิดในการบริหารและการจัดการที่ดี
เพื่อมาปรับใช้ในบริบทขององค์กรทางการศึกษา ในประเด็กดังนี้
1. การกำหนดจุดหมาย
ผลที่คาดหวัง หรือภาพความสำเร็จของการบริหารและการจัดการที่ดี (Goal /
Expected / Output)
2. กระบวนการบริหารและการจัดการที่ดี
(Process)
3.
ทรัพยากรในการบริหารจัดการที่ดี
(Input / Resource)
4.
ระบบควบคุม (Feedback
/ Control System)
5.
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการบริหารและการจัดการที่
ขอบข่ายของการบริหาร
* กระทรวงศึกษาธิการ (2546) ได้กำหนดขอบข่ายภาระงานในการบริหารงานบุคคลไว้ประกอบด้วย
5 งาน ได้แก่
1. การวางแผนอัตรากำลังและการกำหนดตำแหน่ง
2. การสรรหาและการบรรจุแต่งตั้ง
3. การเสริมสร้างประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ
4. วินัยและการรักษาวินัย
5. การออกจากราชการ
*สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
(2545) ได้กำหนดขอบข่ายการบริหารงานบุคคลไว้ประกอบด้วย
6 งาน ได้แก่
1. การวางแผนกำลังคน
2. การสรรหา
3. การบรรจุแต่งตั้ง
4. การพัฒนา
5. การธำรงรักษา
6. การให้พ้นจากงาน
สรุป ได้ว่าขอบข่ายของการปฏิบัติงานของสถานศึกษาในการบริหารงานบุคคลนั้นมีภาระงานที่สำคัญๆ
ที่สถานศึกษาควรปฏิบัติ ประกอบด้วย
1. การวางแผนอัตรากำลังและกำหนดตำแหน่ง
โดยมีการวิเคราะห์ภารกิจและประเมินสภาพความต้องการกำลังคน
กับภารกิจของสถานศึกษามีการจัดทำภาระงานสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
และแจ้งภาระงาน มาตรฐานคุณภาพงาน มาตรฐานวิชาชีพ จรรยาบรรณวิชาชีพ
เกณฑ์ประเมินผลงานแก่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษาก่อนมีการมอบหมายหน้าที่ให้ปฏิบัติงาน
2. การสรรหาและบรรจุแต่งตั้ง
โดยมีการดำเนินการสอบแข่งขัน
สอบคัดเลือกและคัดเลือกในกรณีจำเป็นหรือมีเหตุพิเศษในตำแหน่งครูผู้ช่วยครูและบุคลากรทางการศึกษาอื่นในสถานศึกษา
การบริหารเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ (Science and arts)
* เป็น
ศาสตร์ เพราะ มีหลักการ กฎเกณฑ์ และทฤษฏีที่เชื่อถือได้
เกิดจากการศึกษาค้นคว้าเชิงวิทยาสาสตร์
* เป็น ศิลป์ เพราะต้องทำงานกับคน
ต้องเลือกใช้วิธีการให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ต้องฝึกให้ชำนาญ
จึงต้องประยุกต์ใช้อย่างมีศิลป์
➤ ทฤษฏีที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการสถานศึกษา
ความหมายของทฤษฎี
*กลุ่มของข้อเสนอ
หรือ ของมโนทัศน์ที่สัมพันธ์เชื่อมโยงซึ่งกันและกัน
*เป็นข้อสรุปอย่างกว้างๆ
ทั่วไปที่พรรณนาและอธิบายถึงพฤติกรรมและปรากฏการณ์อย่างเป็นระบบ
*ทฤษฏีเป็นพื้นฐานของการกำหนดสมมติฐานเพื่อทดสอบปรากฏการณ์ที่สังเกตได้
ในเมื่อ *ทฤษฏีอยู่บนพื้นฐานของตรรกวิทยา มีเหตุผลแม่นยำ ถูกต้องแล้ว
การปฏิบัติก็จะมีเหตุผลและถูกต้องเช่นเดียวกัน
*ทฤษฏีเป็นจุดเริ่มต้นของการวิจัย
โดยกำหนดทิศทางของการวิจัย
พัฒนาการของทฤษฏีทางการบริหาร
⦿ ทัศนะดั้งเดิม (Classical viewpoint)
1. การบริหารเชิงวิทยาศาสตร์
(Scientific management)
Frederick. W. Taylor (เทเลอร์) บิดาแห่งการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ ได้เสนอ
หลัก 4 ประการ
1. ใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ มีการแยกวิเคราะห์งาน
2. มีการวางแผนการทำงาน
3. คัดเลือกคนทำงาน
4. ใช้หลักการแบ่งงานกันทำระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายปฏิบัติ
2.ทฤษฏีการจัดการเชิงบริหาร
(Administration management)
* Henry Fayol : หลักการบริหาร 14 หลักการ และขั้นตอนการบริการ POCCC
* Chester Barnard : ทฤษฏีการยอมรับอำนาจหน้าที่
* Luther Gulick : ใช้หลักการของ Fayol โดยใช้คำย่อว่า POSDCoRB
ซึ่งเป็นหน้าที่ 7 ประการ
1. มีกฎระเบียบข้อบังคับเพื่อควบคุมการตัดสินใจ
2. ความไม่เป็นส่วนตัว
3. แบ่งงานกันทำตามความถนัด ความชำนาญเฉพาะทาง
4. มีโครงสร้างการบังคับบัญชา
5. ความเป็นอาชีพที่มั่นคง
6. มีอำนาจหน้าที่ในการตัดสินใจ
โดยมีกฎระเบียบรองรับ
7. ความเป็นเหตุเป็นผล
ข้อเสียของระบบราชการ.......
- ระเบียบปฏิบัติที่เคร่งครัดเกินไป
ไม่ยืดหยุ่นทำให้งานล่าช้า ไม่เกิดความคิดสร้างสรรค์
- การรวมศูนย์อำนาจ ทำให้ตัดสินใจล่าช้า
ไม่ทันเหตุการณ์และเทคโนโลยี
- การมีสายการบังคับบัญชา
ทำให้เกิดการชิงดีชิงเด่น ประจบประแจง
- การแบ่งงานตามความถนัดเป็นกลุ่ม
ทำให้เกิดการสร้างอาณาจักร
ทั้ง
3 ทฤษฏี
มีความเหมือนและแตกต่างกันอย่างไร
ความเหมือน
1. ด้านโครงสร้าง เน้นการแบ่งงานกันทำ
การมีสายการบังคับบัญชา กำหนดหน้าที่ของการบริหาร เน้นหลักการ
2. ด้านผู้ปฏิบัติ เหมือนเครื่องจักร
เน้นสิ่งจูงใจด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงในงาน ความต้องปรับตัวเข้ากับงาน
3. ด้านผู้นำ ให้ความสำคัญกับบทบาทผู้นำ เอกภาพ
ระบบคุณธรรม เป้าหมายองค์กรสำคัญกว่าบุคคล
4. ด้านการตัดสินใจ เน้นความเป็นเหตุผล ประสิทธิภาพ
กำไร
ความต่าง
- Taylor : กำหนดวิธีการทำงานที่ดีที่สุด The one
best way
- Fayol : เน้นหลักการ 14 หลักการ
- Weber : เน้นระเบียบข้อบังคับ มีเกณฑ์ประเมินผล
⦿ ทัศนะเชิงพฤติกรรม
(Behavioral viewpoint)
- ทฤษฏีพฤติกรรมระยะเริ่มแรก
- การศึกษาที่ฮอว์ธอร์น
- ความเคลื่อนไหวเชิงมนุษยสัมพันธ์
- หลักพฤติกรรมศาสตร์
* Hugo Munsterberg บิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรม
ใช้หลักจิตวิทยาในการจำแนกคนงานให้เหมาะสมกับงาน
* Mary Parker Follett นักปรัชญาแห่งเสรีภาพของบุคคล
เน้นสภาพแวดล้อมในการทำงานและการมีส่วนร่วม
2. การศึกษาที่ฮอว์ธอร์น (Hawthorne studies)
* การทดลองของบริษัท
เวสเทิร์น อิเล็กทริก ที่เมืองฮอว์ธร์น เพื่อศึกษาเกี่ยวกับผลของแสงไฟต่อประสิทธิภาพในการทำงาน
* ในช่วงท้ายของการทดลอง Elton Mayo ร่วมทำการทดลอง สรุปข้อค้นพบว่า
- เงินไม่ใช้สิ่งจูงใจสำคัญเพียงอย่างเดียว
- กลุ่มไม่เป็นทางการมีอิทธิพลต่อองค์การ
3. การเคลื่อนไหวเชิงมนุษยสัมพันธ์
(Human relation movement)
* Abraham Maslow : มาสโลว์
ทฤษฏีลำดับขั้นความต้องการ
* Douglas McGregor : แมคเกรเกอร์
ทฤษฏี X และทฤษฏี Y
ทฤษฏี
X และทฤษฏี Y
- เป็นสมมติฐานเกี่ยวกับทัศนะเกี่ยวกับผู้บริหารที่มีต่อคนงาน
- ทัศนะของผู้บริหารจะส่งผลต่อพฤติกรรมการบริหารงานของเขาด้วย
- เขาเห็นว่า องค์การแบบเดิม (รวมศูนย์
สื่อสารบนลงล่าง) ไม่ช่วยให้เกิดผลผลิต แต่ - สะท้อนธรรมชาติของมนุษย์ เรียกว่าทฤษฏี X
- ทฤษฏี X มองว่าคนไม่ชอบทำงาน เลี่ยงความรับผิดชอบ
- ไม่ทะเยอทะยาน ชอบให้สั่งการ ต้องใช้เงินจูงใจ
ต้องควบคุมมาก
- ทฤษฏี Y มองว่า คนจะให้ความร่วมมือถ้าพอใจในสภาวะการทำงาน
- คนขยันไว้ใจได้ ควบคุมตนเองได้
มีความคิดริเริ่มในการทำงาน ถ้าได้รับการจูงใจที่ถูกต้องจากเพื่อนร่วมงาน
- คนจะพัฒนาตนเองอยู่เสมอ
- เป็นการนำผลการวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์
เพื่อพัฒนาทฤษฏีเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ จากศาสตร์ สาขาต่างๆ เมื่อ
- นำไปทดสอบแล้วจะเสนอให้นักบริหารนำไปใช้
เช่น ทฤษฏีการตั้งเป้าหมาย ของ Locke
⦿ ทัศนะเชิงปริมาณ
(Quantitative viewpoint)
1.การบริหารศาสตร์
(Management science)
มุ่งเพิ่มความมีประสิทธิผลในการตัดสินใจจากการใช้ตัวแบบคณิตศาสตร์และวิธีการเชิงสิติ
ซึ่งแพร่หลายได้รวดเร็วเนื่องจากความก้าวหน้าทางคอมพิวเตอร์ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างซับซ้อนมากขึ้น
2. การบริหารปฏิบัติการ
(Operation management)
- ยึดหลักการบริหารกระบวนการผลิตและให้บริการ
- กำหนดตารางการทำงาน
- วางแผนการผลิต
- การออกแบบอาคารสถานที่ การประกันคุณภาพ
- การใช้เทคนิคเครื่องมือต่างๆ เช่น
เทคนิคการทำนายอนาคต
- การวิเคราะห์รายการ ตัวแบบเครือข่ายการทำงาน
การวางแผน
และควบคุมโครงการ
3. ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร (management Information System)
สารสนเทศบริหารศาสตร์ MIS เน้นการนำเอาระบบข้อมูลสารสนเทศโดยอาศัยเครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้ในการบริหาร
(Computer based information system : CBISs)
⦿ ทัศนะร่วมสมัย
(Contemporary viewpoint)
1. ทฤษฏีเชิงระบบ
(System theory)
ระบบแบ่งออกเป็น
2 ลักษณะ คือ
ระบบเปิดและระบบปิด
⦁ ระบบเปิดและระบบปิดไม่ได้แยกออกจากกัน มีลักษณะอยู่ 9 ประการ
-
มีปัจจัยป้อนเข้าจากภายนอก
-
มีกระบวนการที่ก่อให้เกิดผลผลิต
-
ปัจจัยป้อนออกเป็นผลผลิตหรือบริการ
- มีวงจรต่อเนื่อง
-
มีการต่อต้านแนวโน้มสู่ความเสื่อมของระบบ
-
ข้อมูลย้อนกลับเพื่อการปรับตัว
-
มีแนวโน้มสู่ความสมดุล
-
มีแนวโน้มสู่คามซับซ้อน
-
มีหลายเส้นทางเพื่อบรรลุจุดมุ่งหมาย
2. ทฤษฏีการบริหารตามสถานการณ์ (Contingency theory)
หลักการบริหารงานที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับสถานการณ์หนึ่งๆ
เท่านั้น ในสถานการณ์ที่ต่างไป
ผู้บริหารอาจกำหนดหลักการจากการวิเคราะห์ลักษณะเฉพาะของแต่ละสถานการณ์เพื่อกำหนดแนวทางให้เหมาะสมกับโครงสร้าง
เป้าหมายและผู้ปฏิบัติงานในองค์การ
3 ทัศนะที่เกิดขึ้นใหม่
ทฤษฏี
Z ทฤษฏีการบริหารแบบญี่ปุ่น โดย William
Ouchi โดยรวมหลักการบริหารแบบอเมริกันรวมกับแบบญี่ปุ่นมีหลักการสำคัญคือ
ความมั่นคงในงาน การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ รับผิดชอบปัจเจกบุคคล
เลื่อนตำแหน่งช้า ควบคุมไม่เป็นทางการ แต่วัดผลเป็นทางการ สนใจภาพรวมและครอบครัว